ช่วงหน้าหนาวใครๆก็อยากไปสัมผัสความหนาวเหน็บที่ภาคเหนือ เราก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย เราเลยเลือกเดินทางไปสัมผัสความหนาวที่ แม่กำปอง ดินแดนสโลว์ไลฟ์
การเดินทาง เราเลือกเดินทางโดยรถไฟ ชิวๆกันไป แต่บอกเลยว่าขนาดจองล่วงหน้าหนึ่งเดือนยังจะไม่มีที่นั่ง เราแนะนำว่าควรจองล่วงหน้าสักสองเดือนหรือมากกว่านั้นจะดีที่สุด ขาไปเราได้ตั๋วรถไฟเร็ว แต่ก็ 13 ชั่วโมง เราได้ที่นั่งขบวน 109 ชั้นที่ 2 บชท. 48 คันที่ 9 กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ออกเดินทางวันที่ 28 ธันวาคม 2559 รถไฟออกช้ากว่ากำหนดนิดหน่อย ถึงเชียงใหม่ เวลาตีห้ากว่าๆ ไม่มีร้านไหนเปิดเราเลยแวะกินไข่ลวกหน้าสถานีรถไฟ เป็นร้านกาแฟเล็กๆ
|
ระหว่างการเดินทางจาก กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ |
|
ระหว่างการเดินทางจาก กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ |
|
ร้านกาแฟหน้าสถานีรถไฟเชียงใหม่ |
พอกินไข่ลวกเสร็จแล้วเรียบร้อย เราเลยเดินไปตลาดสันป่าข่อย ในใจเราก็ยังคิดว่าต้องมีร้านข้าวเปิดแน่ๆ พอไปถึงด้วยความที่มันยังเป็นเวลาเช้าตรู่เลยมีแต่ตลาดสดที่เปิด เราเลยเดินสำรวจไปเรื่อยๆว่ามีร้านไหนบ้างที่เปิด เราไปเจอร้านข้าวมันไก่ตรงข้ามหน้าวัดสันป่าข่อย เป็นร้านเดียวที่เปิดในเวลานั้นเราก็เลยแวะกินข้าว กินข้าวเสร็จก็ประมาณเกือบๆ 7 โมงเช้า เราเลยตัดสินใจว่า ไปแม่กำปองเลยดีกว่า เราเลยโทรหาลุงที่เราจองบ้านพักไว้ หวังว่าลุงจะมารับเราที่สถานีรถไฟเชียงใหม่แบบที่คุยกับลุงไว้ แต่!! ลุงลืมหรือเข้าใจผิดอะไรสักอย่างเลยไม่ได้มารับเรา แต่ลุงก็ให้เบอร์คนขับรถตู้ขึ้นไปแม่กำปอง จริงๆแล้วการที่จะขึ้นรถตู้ไปแม่กำปองมันต้องจองก่อน แล้วเรายังไม่ได้จองแต่ก็ยังโชคดีที่มีที่นั่งเหลือ เราต้องจองที่นั่งรถตู้ขึ้นไปแม่กำปองผ่าน Facebook
รถตู้น้ำพุร้อนสันกำแพง จุดรับส่งมีสองที่คือ สถานีขนส่งช้างเผือก ชานชาลาที่ 6 และ อีกที่นึงก็อยู่ตรงกาดหลวงหรือตลาดวโรรส คิวรถจะอยู่ตรงฝั่งริมแม่น้ำปิง สังเกตุจะมีซุ้มคิวรถสีม่วงขาว ค่าโดยสารคนละ 100 บาท
พอถึงแม่กำปอง เราก็เอาของเข้าไปเก็บในบ้านพัก แต่ต้องรอสักพักใหญ่ๆกว่าจะได้เข้าพัก เพราะป้ายังทำความสะอาดไม่เสร็จ เราพักที่
ลุงบูลย์ บ้านฮิมห้วย แม่กำปอง ลุงเป็นกันเอง แต่ลุงจะออกมึนๆหน่อย 555 ลุงคุยไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่แกดูขี้เขินเวลาคุย เราจองที่พักล่วงหน้าหนึ่งเดือน แต่ก็หายากมากเพราะช่วงสิ้นปีคนจองเยอะมากส่วนใหญ่จะเต็ม เราว่าควรจองล่วงหน้าก่อนนานๆเลยจะดีกว่า ลุงคิดค่าเข้าพักต่อคน คนละ 550 เพราะเรากินอาหารที่บ้านพักด้วยเลยเพิ่มค่าอาหารมา 50 บาท
|
สตอเบอรี่ หน้าบ้านลุงบูลย์ |
เริ่มการเดินสำรวจว่ามีร้านไหนน่าสนใจบ้าง เราก็อ่านริวิวไปบ้างว่าที่แม่กำปองมีร้านไหนที่เด็ดๆบ้าง แต่ไม่ค่อยถูกใจเราเท่าไหร่ เพราะร้านไหนโดนรีวิวคนก็จะเยอะมาก แบบล้นหลาม เราเจอร้านกาแฟร้านนี้ เจ้าของร้านเป็นกันเองมาก พูดจาสนุกสนาน เราไม่รู้จักชื่อเค้า เราเลยเรียกเค้าว่าพี่หนวด
คุยไปคุยมา พี่หนวดอนุญาตให้เราขึ้นไปดูกาแฟที่เค้าปลูกเอง ที่เอามาทำกาแฟที่ร้าน พอขึ้นไปก็เจอคนดูแลสวนเราก็ไม่รู้จักชื่อลุงเค้าอีก ลุงแทนตัวเองว่า พ่อ เราก็เลยเรียกพ่อเลย พ่อเป็นคนที่คุยเก่งมาก ได้ความรู้หลายๆอย่างเกี่ยวกับวิถีชีวิต การทำสวนแบบธรรมชาติ ไม่พึ่งสารเคมี ถือว่าได้ชมสวนกาแฟ สวนผลไม้ สวนผัก พร้อมกันในคราวเดียว แบบส่วนตัวสุดๆ
|
Hot drip รสชาติคล้ายๆเอสเพรสโซ่ |
|
ที่ตากกาแฟของพี่หนวด |
|
แปลงผักกาดที่พ่อปลูกกินเอง |
|
ต้นกาแฟ เก็บผลได้ปีละหนึ่งครั้ง |
พอกินกาแฟเสร็จเราก็ไปเดินหาของกิน พร้อมเดินสำรวจว่าในแม่กำปองมีอะไรบ้าง
|
ปาท่องโก๋จิ้มนม ชุดละ 30 บาท |
|
ไข่ป่ามกระทงละ 20 บาท |
|
ไก่หน้าวัด |
|
ส่วนหนึ่งของกำแพงวัด |
|
วิวจากห้องพักบ้านลุงบูลย์ |
|
ร้านซูชิ ตรงข้ามร้านกาแฟ มีบาร์ริมลำธารให้เราได้นั่งอย่างสบายใจ |
เริ่มการเดินทางไปน้ำตก ระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตร
|
ไข่ครก ร้านนี้อยู่แถบๆวัด เป็นร้านเล็กๆ |
|
ต้องเดินขึ้นไปจนสุดทางถึงจะเจอกับภาพนี้ |
ขาเรากลับจากน้ำตก เราได้แวะกินกาแฟที่ร้าน ฮ่อมดอย เป็นร้านที่อยู่ในหลืบเลยก็ว่าได้ถ้าเราเดินเท้าไปและไม่ได้สังเกตุเราก็จะไม่รู้เลยว่ามีร้านกาแฟอยู่ด้านใน วันที่เราไปเค้ามีกิจกรรม สอนวาดภาพ วาดภาพล้อพอดี
|
โกโก้ร้อน |
|
สัตว์เลี้ยงของชาวบ้าน นกยูงงง!!! |
|
ข้าวจี่ร้านตรงข้ามวัด ร้านเดียวกับไข่ครก |
ปิดท้ายคืนสุดท้ายที่แม่กำปองด้วยร้าน ริมสายธาร ได้ช่วยพี่เก๋เจ้าของร้านทำขนม ได้พูดคุยสนุกสนานจนถึงพี่เก๋ปิดร้านก็ประมาณเที่ยงคืนกว่าๆ
|
พี่เก๋ผู้อินดี้เจ้าของร้าน ริมสายธาร |
|
ขนมที่ได้กินฟรี อิอิ |
ก่อนกลับเราก็มากินกาแฟร้านที่เรากินประจำระหว่างอยู่ที่แม่กำปอง ตอนเราไปถึงที่เค้าเพิ่งเปิดร้านแบบยังไม่ได้ตั้งของเลย แต่บาริสต้าก็ใจดีทำกาแฟให้เรากินก่อนกลับ
เราเข้าเมืองวันที่ 31 ธันวาคม 2559 เพราะกะว่าจะมาเคาท์ดาวน์ในตัวเมืองแต่เรามาถึงในตัวเมืองช่วงเช้า เราพักที่
The Gallery 24, Art Cafe Guesthouse, Chiang Mai เราจองผ่านเว็บ อโกด้า ซึ่งก็หาที่พักค่อนข้างยากอีกเช่นเคยเพราะช่วงปีใหม่ที่พักจะเต็มหมด ที่พักอยู่ใกล้กับ วัดพระสิงห์ฯ อนุสาวรีย์สามกษัติย์ ถนนคนเดินเชียงใหม่ หาที่พักไม่ยาก ส่วนใหญ่ที่พักที่นี่จะเป็นชาวต่างชาติเกือบทั้งหมด ราคาไม่แพง และมีบริการอาหารเช้าฟรี มีจักรยานให้เอาออกไปปั่นเล่นได้
เราได้มีโอกาสไปเดินดูงานศิลปะชิวๆที่ พิพิธภัณฑ์พื้นถิ่นล้านนา และ หอประวัติศาสตร์เมืองเชียงใหม่ ทั้งสองที่อยู่ใกล้กัน และตกเย็นเราก็ไปเดินที่ถนนคนเดินเชียงใหม่ที่ตั้งของขายตั้งแต่บริเวณตรงข้ามวัดพระสิงห์ฯ ยาวไปจนสุดลูกหูลูกตา เดินกันไปยาวๆ
เราเดินที่ถนนคนเดินจนถึงค่ำๆ มันได้เวลาที่เราจะไปหาร้านนั่งชิวรอเคาท์ดาวน์ เราก็เปิดดูตามรีวิวว่าแถวๆนิมมานมีร้านไหนที่น่าสนใจบ้าง เราก็ไปตามร้านที่รีวิวนะแต่ เต็มทุกร้านเพราะทุกคนดูรีวิวแน่นอนว่าร้านไหนดี เราไปตามรีวิวประมาณ 2-3 ร้านได้ เต็มทุกร้าน เราเลยเดินไปเรื่อยๆแถวๆนิมมานนั่นแหล่ะเพราะไม่รู้จะไปไหนแล้ว
เราเดินไปเรื่อยๆก็ไปหยุดอยู่ที่ซอยนิมมาน 13 เจอร้านที่บรรยากาศมันโดนใจ เปิดเพลงที่เราคุ้นเคย ส่วนใหญ่จะเป็นเพลงในช่วงยุค 90 เป็นร้านเล็กๆและบรรยากาศมันเหมาะกับตัวเรามากประมาณว่าเจอคนที่ใช่แล้วดิ่งเข้าไปหา ในคืนที่เราไปนั่งกินที่ร้านนี้มันเป็นวันสิ้นปีพอดี ส่วนใหญคนที่อยู่ในร้านจะเป็นเพื่อนกัน รุ่นพี่รุ่นน้องกัน เรียกได้ว่าเป็นคืนที่รวมพลคนศิลป์ศิลป์ และบังเอิญน้องที่ไปเที่ยวกับเราเค้าเจอเพื่อนอยู่ที่หน้าร้านนี้พอดี เราเลยปักหลักที่ร้านนี้ แล้วพอดีทางร้านมีกิจกรรมจับฉลากของขวัญในธีม อะไรก็ได้เกี่ยวกับไก่ของขวัญที่พวกเค้าแกะมาแต่ละชิ้นเราฮาทุกชิ้นเลย เช่น เทปหนังไก่ หนังสือไก่ชน โจ๊กรสไก่ คอนเฟลกที่มีรูปไก่อยู่หน้ากล่อง และอื่นๆที่เราคาดไม่ถึง
และเราก็เคา์ดาวน์แบบงงๆว่านี่ขึ้นปีใหม่แล้วหรออยู่ในร้านเล็กๆที่บรรยากาศในร้านดีมากสำหรับตัวเรา
|
ไปตามรีวิวคนเยอะมากรอไม่ไหว แต่เบียร์หลากหลายน่าสนใจ |
|
ร้านนี้แหล่ะที่เราเคาท์ดาวน์ |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น